วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

20.เขื่อนอิไตปู

     เขื่อนอิไตปู (Itaipú) เป็นเขื่อนคอนกรีตขนาดใหญ่ซึ่งในอดีตจัดได้ว่าเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก[1] ก่อนที่เขื่อนสามหุบเขาของจีนจะแล้วเสร็จ เขื่อนอิไตปูสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1984 แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1988

คำว่าอิไตปู แปลว่า"เสียงเพลงจากก้อนหิน"มาจากภาษากวารานิ (Guarani) ชาวอินเดียนแดงเผ่าดั้งเดิม
   
เขื่อนอิไตปูกั้นแม่น้ำปารานาบริเวณเขตแดนระหว่างประเทศบราซิลกับประเทศปารากวัย จึงทำให้เขื่อนนี้เป็นทั้งผนังกันน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าและเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองประเทศอีกด้วย เขื่อนอิไตปูเป็นเขื่อนคอนกรีตชนิดเขื่อนแบบกลวง มีขนาดความสูง 180 เมตร มีความยาวกว่า 8 กิโลเมตร ใช้คอนกรีตในการสร้างกว่า 28 ล้านตัน ซึ่งสามารถสร้างสนามฟุตบอลได้ 210 สนาม และใช้เหล็กมากขนาดสร้างหอไอเฟลได้ 380 หอเลยทีเดียว เมื่อสร้างเสร็จด้านเหนือเขื่อนจึงเกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีเนื้อที่กว่า 1,550 ตารางกิโลเมตร ระยะทางยาวลึกขึ้นไปทางเหนือเขื่อนอีกกว่า 160 กิโลเมตร มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 18 เครื่อง มีกำลังการผลิต 12,600 เมกะวัตต์ จึงสามารถจ่ายไฟให้กับประเทศปารากวัยได้ทั้งประเทศรวมทั้งเมืองใหญ่ของบราซิลทั้งกรุงเซาเปาโล และนครรีโอเดจาเนโร ได้อย่างสบาย แต่ภายหลังได้มีโครงการเพิ่มเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็น 20 เครื่อง ภายในปี 2550 และสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 14,000 เมกะวัตต์




19.เดลต้า เวิร์ค

Image result for เดลต้า เวิร์ค


เดลตาเวิกส์ (อังกฤษ: Delta Works) เป็นโครงการก่อสร้างชุดใหญ่ที่บริเวณปากแม่น้ำไรน์-เมิส-เชลดา ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อกั้นการท่วมของน้ำทะเล โครงการประกอบไปด้วยการสร้างเขื่อน ประตูปิดเปิดน้ำ ที่กั้นเขื่อน การก่อสร้างเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ถึงปี ค.ศ. 1997


18.คลองปานามา





Image result for คลองปานามา


คลองปานามา (อังกฤษ: Panama Canal) เป็นคลองเดินเรือสมุทรความยาว 77 กิโลเมตร สร้างขึ้นบริเวณคอคอดปานามาในประเทศปานามาเพื่อเชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาที่ต้องไปอ้อมช่องแคบเดรกและแหลมฮอร์น ทางใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ คิดเป็นระยะทางกว่า 22,500 กิโลเมตร[1] ซึ่งมีผลอย่างยิ่งต่อการเดินเรือระหว่างสองมหาสมุทร โดยถูกใช้เป็นเส้นทางเดินเรือหลักสำหรับการค้าทางทะเลระหว่างประเทศ ตั้งแต่เปิดทำการ คลองปานามาประสบความสำเร็จและเป็นกุญแจสำคัญในการขนส่งสินค้าทั่วโลก จำนวนเรือที่ผ่านคลองปานามาเพิ่มขึ้นจาก 1,000 ลำต่อปีในยุคแรกเริ่ม มาเป็น 14,702 ลำต่อปี ในปี ค.ศ. 2008 มีระวางขับน้ำรวมทั้งสิ้น 309.6 ล้านตัน (คิดเป็นประมาณ 40 ลำต่อวัน ประมาณร้อยละ 5 ของเรือบรรทุกสินค้าทั่วโลก)

Image result for คลองปานามาแนวความคิดในการขุดคลองปานามาจะมีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 แล้ว ก่อนที่จะเริ่มการก่อสร้างครั้งแรกในปี ค.ศ. 1880 ภายใต้บริษัทสัญชาติฝรั่งเศสภายใต้การบริหารของนายแฟร์ดินองด์ เดอ เลสเซ็ปส์ แต่ก็ล้มเหลวไป มีคนงานกว่า 21,900 คนเสียชีวิต มักมีสาเหตุจากโรคระบาด (มาลาเรียหรือไข้เหลือง) และดินถล่ม จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาเข้ามาดำเนินงานต่อ โดยมีผู้เสียชีวิตราว 5,600 คน จนกระทั่งสามารถเปิดใช้งานได้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1914 นับเป็นหนึ่งในโครงการวิศวกรรมที่ใหญ่ที่สุดและยากลำบากที่สุดที่เคยมีมา




17.สะพานโกลเดนเกต

"สะพานโกลเดนเกท-Golden Gate" ความหมายคือ "ประตูทอง" ต้อนรับผู้มุ่งมาซานฟรานซิสโก ทำสถิติเป็นสะพานแขวนแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเส้นทางสู่อ่าวซานฟรานซิสโก และเชื่อมระหว่างซานฟรานฯ กับมาริน เคาท์ตี


สะพานทาสีแดงอมส้มสดตามสีสัญลักษณ์ของซานฟรานฯ ใช้งบประมาณในการสร้าง 35 ล้านดอลลาร์ เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 มกราคม 1933 อันเป็นช่วงสมัยของประธานาธิบดีแฟรงกิน ดี. รูสเวลต์ มี โจเซฟ สเตราส์ เป็นวิศวกร ฝากฝีมือบันทึกไว้บนสะพานโกลเดน เกทสีแดงอมส้มที่จะเปล่งแสงสะท้อนเมื่อยามแสงอาทิตย์ตกกระทบ ความงามทางด้านวิศวกรรมได้รับการยกย่องจากสมาคมวิศวกรพลเรือนอเมริกันให้เป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 

สะพานประตูทองทอดข้ามอ่าวทางตอนเหนือของเมืองซานฟรานฯ สร้างเป็นแบบโครงแขวน ตัวสะพานแขวนประกอบด้วยหอคอยเหล็กสองข้าง ข้างละ 215 เมตร ใช้ลวดเคเบิลโยงทอดเป็นตัวดึงน้ำหนักสะพาน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 36 นิ้ว ข้างละ 2 เส้น แต่ละเส้นประกอบด้วยลวนเส้นเล็กๆ 17,664 เส้น รวม 4 เส้น ยาว 70,815 ไมล์ หรือหมุนรอบโลกได้ 3รอบ และยังมีเส้นลวดเล็กยึดสายโยงอีกรวม 27,572 เส้น มีช่วงกลางระหว่างตอม่อยาว 1.26 กิโลเมตร ส่วนริม 2 ฟาก ยาวข้างละ 34 เมตร รวมความยาวทั้งหมดประมาณ 7 กิโลเมตร ส่วนกว้าง 27 เมตร 
Image result for สะพานโกลเดนเกต

เนื้อที่บนสะพานเปิดให้เดินรถไฟได้ 2 ช่องทาง และ 3 ช่องทางรถยนต์ โดยที่ตัวสะพานสามารถสามารถรับน้ำหนักได้ และไม่เกิดความเสียหาย เป็นสะพานแบบแขวนขนาดใหญ่และยาวมากที่สุดสะพานแรกในยุคนั้น สร้างแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 1937 เปิดใช้ครั้งแรกวันที่ 28 พฤษภาคม ปีเดียวกัน โดยประธานาธิบดีรูสเวลต์กดปุ่มทำพิธีเปิดมาจากกรุงวอชิงตัน ดีซี เป็นสัญญาณให้ผู้ใช้รถสัญจรไปมาบนสะพานได้ ทั้งนี้ เมื่อวันแรกนั้นมีประชาชนราว 200,000 คน มารวมตัวกัน

ส่วนยุคตื่นทองคำในสหรัฐเกิดขึ้นช่วง ค.ศ.1853 ผู้คนนับแสนหลั่งไหลเข้ารัฐแคลิฟอร์เนีย ยิ่งนานวันทวีจำนวนมากกว่า 250,000 คน สภาวการณ์ชุมชนเมืองระยะแรกเต็มไปด้วยคนนอกกฎหมาย ซานฟรานฯ ที่ในอดีตเคยเป็นของสเปนก็ได้กลายเป็นแหล่งชุมชนที่มั่งคั่งขึ้นจากการเป็นศูนย์กลางการค้ายุคนั้น และยั่งยืนต่อมาแม้ทองจะหมดไปน้านนาน


กระแสตื่นทองยังทำให้ซานฟรานฯ กลายเป็นแหล่งคนงานทำเหมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีนอพยพซึ่งนับเป็นรุ่นล่าสุดของอเมริกายุคหลังสงครามกลางเมือง คนงานชาวจีนซึ่งส่วนใหญ่มาจากโรงยาฝิ่นลงเรือกลไฟแล่นข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกมายังซานฟรานฯ ก่อนถูกกระจายไปตามเหมืองทองคำที่ต่างๆ ชาวจีนที่หลั่งไหลเข้าอเมริกาในช่วงตื่นทองนี้ ไม่เพียงทำให้อเมริกันเรียนรู้พลังของแรงงานผิวเหลืองจากเอเชียตะวันออก หากทำให้ชาวจีนเรียนรู้ที่จะอยู่ในวัฒนธรรมตะวันตกในเวลาต่อมาด้วย ชุมชนการค้าของชาวจีนในซานฟรานซิสโก กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่นับแต่นั้นจนวันนี้


16.ตึกเอ็มไพร์สเตต





ตึกเอ็มไพร์สเตต เป็นหนึ่งในอาคารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนเกาะแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา บริเวณจุดตัดของถนน Fifth Avenue และ West 34 Street ตัวอาคารสร้างจากคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี ตกแต่งด้วยศิลปะ อาร์ตเดคโค (Art Deco) มีความสูงทั้งสิ้น 102 ชั้น ใช้อิฐในการสร้าง 10 ล้านก้อน สูง 375 เมตร และลึกลงไปใต้ดิน จากระดับถนน อีก 10 เมตร บนยอดสุดมีโดมสูงขึ้นไปอีก 60 เมตร จากชั้นล่างถึงชั้นที่ 86 มีโครงเหล็กเสริมอย่างดี ชนิดไม่ขึ้นสนิม คิดเป็นน้ำหนัก 730 ตัน มีหน้าต่างทั้งหมด 6,500 บาน จุคนได้ 80,000 กว่าคน รับประกัน 6,000 ปี มีบริษัทใช้เป็น ที่เปิดทำการ 600 กว่าบริษัท ใช้ลิฟท์ขึ้นลง 65 เครื่อง มีเนื้อที่ใช้สอยทั้งหมดประมาณ 2,158,000 ตารางฟุต เริ่มสร้างเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2472 (ค.ศ.1929) สร้างเสร็จเมื่อ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) ชื่อตึกหลังนี้ได้มาจากชื่อเล่นของนครนิวยอร์ก หลังจากก่อสร้างเสร็จ ในปี พ.ศ. 2480 (ค.ศ.1931) ตึกเอ็มไพร์สเตทได้รับตำแหน่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกนานกว่า 40 ปี จนกระทั่งถูกตึกเหนือหรือ อาคารหมายเลข 1 (North Tower,WTC No.1)ของชุดอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (World Trade Center) ที่ได้ก่อสร้างเสร็จในปี 1972 (พ.ศ. 2515) ได้ทำลายสถิติลง และนับจากเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ.2001 (พ.ศ. 2544) ตึกเอ็มไพร์สเตทจึงได้กลับมาเป็นอาคารที่สูงที่สุดในนครนิวยอร์กอีกครั้ง โดยปัจจุบันมีความสูงเป็นอันดับที่ 14 ของโลก ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมภายในอาคารได้



15.ซีเอ็น ทาวเวอร์






ซีเอ็นทาวเวอร์ (อังกฤษ: CN Tower) ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองโตรอนโต รัฐออนแทริโอ ประเทศแคนาดา เป็นหอคอยสื่อสารและสังเกตการณ์ สูง 553 เมตร (1,815 ฟุต)[1] เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 และมีความสูงมากกว่าหอคอยออสตานกิโนในมอสโก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ทั้งที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ ซีเอ็นทาวเวอร์ได้รับการบันทึกว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงที่สุดในโลกเป็นเวลาถึง 31 ปี จนถึงวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2007 จึงถูกแทนที่ด้วยอาคารเบิร์จคาลิฟา (ขณะนั้นใช้ชื่อ เบิร์จดูไบ)[2]



ชื่ออาคาร ซีเอ็น ย่อมาจาก "Canadian National Railway" เป็นกิจการรถไฟที่เป็นเจ้าของโครงการก่อสร้างในระยะแรก แต่ในปัจจุบัน นิยมอ้างอิงว่า ซีเอ็น หมายถึง "หอคอยแห่งชาติแคนาดา" (Canada's National Tower)[3] ตัวหอคอยมีภัตตาคารอยู่ที่ชั้นความสูง 1,136 ฟุต และจุดชมทิวทัศน์ที่ความสูง 1,465 ฟุต

ปัจจุบัน ซีเอ็นทาวเวอร์เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดเป็นอันดับสามในโลก รองจาก เบิร์จคาลิฟา และหอคอยกว่างโจว แต่ยังครองสถิติสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในซีกโลกตะวันตก







14.ฮาเยียโซเฟีย แห่งคอนสแตนติโนเปิล



ฮาเกีย โซเฟีย โบสถ์ทรงโดมใหญ่ที่สุดในโลก

ฮาเกีย โซเฟีย (Hagia Sophia) แห่งนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เป็นต้นแบบสถาปัตยกรรมโบสถ์ของคริสต์ศาสนิกชนตะวันตก ยุคไบเซนไทน์ (Byzantine) ทั้งนิกายออร์โธดอกซ์ และคาทอลิกกรีก และได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ก่อนจะได้รับคัดเลือกเข้ารอบสุดท้ายให้เป็น 1 ใน 21 สิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2007

คำว่า “Hagia Sophia” มีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Holy Wisdom” หรือ “ภูมิปัญญาศักดิ์สิทธิ์” เป็นชื่อทฤษฎีในคริสตวรรษที่ 4 อุทิศแด่พระเยซูคริสต์ เดิมทีเดียวได้รับการขนานนามว่า “มหาโบสถ์” (The Great Church” เนื่องจากมีขนาดใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกับโบสถ์คริสต์ทั่วโลกในยุคนั้น

ประวัติความเป็นมาของ ฮาเกีย โซเฟีย น่าอัศจรรย์ไม่ด้อยไปกว่าความยิ่งใหญ่ด้านสถาปัตยกรรมเนื่องจากโบสถ์แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นวิหารของพระราชาคณะแห่งคอนสแตนติโนเปิล เป็นโบสถ์ของนิกายไบแซนไทน์ในเวลาเดียวกัน นับเป็นเวลานานกว่า 1,000 ปี แต่เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1453 สุลต่านแห่งตุรกี บุกยึดเมืองหลวงและดัดแปลงทุกสิ่งอย่างภายในโบสถ์ แปลงเป็นสุเหร่าของมุสลิม

เดิมโบสถ์หลังแรก ก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ. 360 โดยคอนสแตนเตียส จักรพรรดิโรมันตะวันออก แต่ถูกทำลายจากการเกิดจลาจลในปี ค.ศ. 404 จากนั้นจักรพรรดิธีโอดอเซียส ที่ 2 ได้บูรณะขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 415 และถูกทำลายจากการจลาจลอีกเช่นกันเมื่อปี ค.ศ. 532 ส่วนโบสถ์ที่คงสภาพมาจนถึงปัจจุบัน ก่อสร้างในยุคจักรพรรดิจัสติเนียน สมัยที่อาณาจักรไบแซนไทน์เรืองอำนาจและมีอิทธิพลสูงสุด ระหว่างปี ค.ศ. 532-537 มีการระดมแรงงานก่อสร้างกว่า 10,000 คน โดยมี โดมขนาดใหญ่ เป็นองค์ประกอบโดดเด่นที่สุดของโบสถ์ และเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีโดมอยู่ตรงกลาง ได้รับการสงวนไว้เป็นมาตรฐานของมัสยิดแถบตะวันออกกลาง และตะวันออกไกล้

มีตำนานระบุว่า เมื่อเริ่มแรกการก่อสร้าง อันเทมิอุส วิศวกรควบคุมงาน แก้ปัญหาข้อจำกัดเรขาคณิตไม่ตกว่าจะสร้างโดมทรงกลมเหนือฐานรูปสี่เหลี่ยมอย่างไร จึงคิดค้นทฤษฎีใหม่ โดยการสร้างเสาหลัก 4 ต้น ที่มุมแแต่ละด้านของฐานสี่เหลี่ยมเหนือยอดเสาขึ้นไปเป็นซุ้มประตู เติมเต็มช่องว่างระหว่างซุ้มโค้งด้วยผนังปูนรูปสามเหลี่ยมผนึกกันเป็นฐานที่แข็งแกร่งรองรับน้ำหนักของหลังคาโดม




ฮาเกีย โซเฟีย โบสถ์ทรงโดมใหญ่ที่สุดในโลก

13.หอเอนเมืองปิซา



   หอเอนเมืองปิซา (อิตาลี: Torre pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa, อังกฤษ: Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร
เริ่มสร้าง เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้าง หยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี  หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา กาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้ 












12.เจดีย์กระเบื้องเคลือบ



                               เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง

Porcelain Tower of Nanking




หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ยังมีอีกหลายคนไม่รู้จัก นั่นก็คือ เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง(Porcelain Tower of Nanking) ที่มาของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่วัดต้าเป้าเอินในเมืองนานกิงซึ่งเป็น เมืองเอกของมณฑลเจียงซู อยู่ทางตอนเหนือของจีน สร้างไว้เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 สมัยของราชวงศ์หมิง โดย


พุทธศาสนิกชนชาวจีนเป็นผู้สร้างเอาไว้ เจดีย์ออกแบบเป็นทรงแปดเหลี่ยม ความสูงทั้งสิ้น 9 ชั้น หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว มีกระดิ่งแขวนไว้ทั้งหมด 80 ลูก เล่ากันว่าบนยอดเจดีย์นั้น มีลูกบอลทำด้วยทองติดอยู่ ประกอบด้วยเหล็กที่เป็นวงแหวนล้อมรอบถึง 9 วง นอกจากี้ยังมีไข่มุกขนาดใหญ่ 5 เม็ดอยู่ที่ปลาย ซึ่งตรงจุดนี้ถือเป็นเครื่องรางบอกความมีโชคมีชัยของกรุงนานกิง

การสร้างโดยพุทธศาสนิกชนชาวจีนนี้สร้างไว้ในครั้งแรกเพียง 3 ชั้นเท่านั้น และในยุคของจักรพรรดิยุ่งโล้แห่งราชวงค์เหม็งราวๆปี พ.ศ. 1973 ได้โปรดให้สร้างเพิ่มขึ้นไปอีกรวมเป็น 9 ชั้น มีบันไดวน184 ขั้น เป็นการสร้างเพื่อระลึกถึงคุณบิดามารดา และภายในเจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง จักรพรรดิ์ยุ่งโล้ได้บรรจุเครื่องบูชาที่ทำ ด้วยของมีค่า พวกเงิน ทองคำ และอัญมณีอื่นๆ จำนวนมาก ภายหลังเจดีย์แห่งนี้ได้ถูกฟ้าผ่า และถูกกบฎไต้เผ็ง ทำลายเมื่อปี พ.ศ. 2396





แม้จะถูกทำลายไปมาก แต่เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิงก็ยังคงมีความงามในแบบฉบับที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และสิ่งที่น่าดีใจที่สุดก็คือ เมื่อปี พ.ศ.2553 นายหวังเจียนหลิน ประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ต้าเหลียน วันดา กรุ๊ป ได้บริจาคเงินก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาก่อน ราว 4,500 ล้านบาท เพื่อบูรณะเจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ยลสืบไป 
















11.สโตนเฮนจ์



กลุ่มหินประหลาด สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge )
   
  สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบว้างใหญ่ในบริเวณที่เรียกว่า ที่ราบซัลลิสเบอร์รี่ ในบริเวณตอนใต้ของอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันอยู่ในแนวนอน และบางอันก็ถูกวางซ้อนขึ้นไปข้างบน


กลุ่มหินประหลาด สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge )


    
  สโตนเฮนจ์มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นกลุ่มหินประหลาดซึ่งไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์ในการสร้างอย่างชัดเจน และเมื่อพิจารณาถึงอายุของมันแล้ว คาดว่ากลุ่มกองหินประหลาดนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ในบริเวณที่ราบดังกล่าว ไม่ใช่บริเวณที่จะมีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมด มาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากบริเวณที่เรียกว่า "ทุ่งมาล์โบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว




สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge )


การก่อสร้างสโตนเฮนจจ์นั้นทำสืบเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปี จากยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้นแต่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 1,800-1,400 ปีก่อนคริสต์กาล ซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่เป็นเพียงเงาของอีตาลอันรุ่นโรจน์ แนวหินกว่าครึ่งได้หักลงบ้าง หายไปบ้าง บางส่วนก็ทับถมกันอยู่ใต้ดิน การก่อสร้างเริ่มขึ้นในราว 2,8000 ปีก่อนคริสต์กาล (ผู้เชี่ยวชาญบางท่านก็ว่าเมื่อ 3,800 ปี) โดยเริ่มจากการขุดร่องวงกลมขนาดใหญ่ 56 หลุมเรียงเป็นวงกลมภายในวงดินนั้น หลุมเหล่านี้เรียกกันว่า หลุมออบรีย์ ตามชื่อจอห์น ออบรีย์ผู้ค้นพบในคริสต์ศตวรรษ 17 ปัจุบันหลุมดังกล่าวลาดทับด้วยปูบซีเมนต์ แต่หินแท่งแรกซึ่งเรียกกันว่าหินฮีล (Heel Stone) ที่ประจำอยู่ปากทางเข้าวงดินยังคงตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม หลุมซึ่งขุดเรียงกันเป็นวงกลมอีกสองวงถัดเข้าไปเรียกกันว่าหลุม Y และหลุม Z



วงหลุมทั้งสองนี้คั่นอยู่ระหว่างวงหลุมออบรีย์ที่เป็นวงนอกและวงแท่งหินขนาดมหึมาตรงใจกลางวงดินสันนิษฐานว่าวงหลุม Y และ Z อาจมีความสำคัญในเชิงดาราศาสตร์ ในราว 2,100 ปีก่อนคริสต์กาล มีการนำหินสีน้ำเงิน (bluestone) 80 ก้อนจากแคว้นเวลส์มาเรียงเป็นวงกลมสองวงซ้อนกันแต่ต่อมามีการนำแท่งหินทรายขนาดใหญ่ 30 แท่ง ที่เรียว่าหินซาร์เซน(sarsen) มาเรียงเป็นวงกลมวงเดียวแทนที่วงหินสี่น้ำเงิน






  สองวงวงเดิมภายในวงหินทรายมีหมู่ หินเรียงเป็นรูปกึ่ง ๆ รูปเกือกม้าอีกสองหมู่หมู่ที่อยู่ด้านนอกประกอบด้วยหินทรายก่อเป็นรูปไตรลิธอนห้ากลุ่ม(Trilithon คือกลุ่มหินที่ประกอบด้วยหินสามแท่ง สองแท่งตั้งขึ้นคู่กันและแท่งที่สามวางพาดเป็นคานในแนวนอน) ส่วนเกือกม้าด้านในประกอบด้วยหินสีน้ำเงินขัดแต่ง 19แท่งสถาปัตยกรรมนี้เป็นความสำเร็จอันน่าทึ่งเมื่อคิดดูว่าเครื่องมือขุดดินที่ผู้สร้างในยุคหินใหม่ใช้เป็นเพียงเสียมที่ทำจากเขากวางแดงเท่านั้น ชาวแซกซันเป็นผู้ขนาดนามวงหินเหล่านี้ว่า สโตนเฮนจ์ซึ่งเแปลตรงตัวว่า หินที่แขวนอยู่ (Hanging Stone) ส่วนบันทึกจากสมัยกลางตั้งชื่อวงหินนี้อย่างไพเราะว่า กลุ่มยักษ์เริงระบำ (The Giants Dance)



แม้ว่านักวิชาการส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่าสโตนเฮนจ์เป็นสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วมันมีไว้เพื่ออะไร มีการเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ นานา เช่น อินิโก โจนส์ สถาปนิกในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เชื่อว่าสโตนเฮนจ์เป็นซากปรักหักพังของวิหารโรมัน แต่คนในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19ยืนยันว่าเป็นวิหารซึ่งพวกลัทธิดรูอิดใช้ประกอบพิธีบูชาพระอาทิตย์และบูชายัญมนุษย์ ความคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เราะสโตนเฮนจ์นั้นสร้างเสร็จอย่างน้อย 1,000 ปีก่อนลัทธิดังกล่าวจะเฟื่องฟู กระทั่งเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เองที่เราเริ่มได้ข้อเท็จจริงบ้าง นักโบราณคดี สามารถคำนวณหาอายุ และสรุปเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการก่อสร้างสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น



สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge )
    แต่ข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงก็ยังนับว่าน้อยอยู่มาก หินซาร์เซนที่เรียงเป็นวงด้านนอกแต่ละก้อนสูง 5 ม และหนักประมาณ26 ตัน หินเหล่านี้ชักลากมาจากทุ่งโล่งมาร์ลโบโร ดาวน์ส (Marlborough Downs)ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 32 กม. แล้วนำมาขัดแต่งและประดิษฐ์ให้มีสลักและเดือยอย่างดี ทำหใแท่งหินคู่ที่ตั้งและคานหินที่ใช้พาดเกาะเกี่ยวกันอย่างมั่นคง ส่วนหินสีน้ำเงินก้อนใหญ่ที่สุดซึ่งหนักถึงสี่ตันนำมาจากภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์นั้น สันนิษฐานว่าใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก นักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่า สโตนเฮนจ์เป็นสถานที่ประกอบพิธีฝั่งศพ โดยพิจารณาจากหลักฐานว่านอกเหนือจากสโตนเฮนจ์แล้ว มีการสร้างสุสานมูนดินในหลุมออบรีย์หลายหลุม แต่ก็มีหลักฐานหักล้างว่าหลุมดังกล่าวขุดขึ้นนานก่อนที่จะมีการเผาศพในบริเวณนี้ บ้างก็สันนิษฐานว่าหลุมออบรีย์อาจใช้เป็นส่วนหนึ่งใน พิธีไหว้ด้วยสุรา เช่น ชาวนาอาจเทเหล้าองุ่นลงในหลุมเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าเปห่งธรรมชาติทั้งหลาย



วงหินสโตนเฮนจ์ก็อาจจะเป็นวิหารสำหรับทำพิธีบวงสรวงดังกล่าว ไม่นานมานี้ มีนักดาราศาสตร์คนหนึ่งได้อ้างว่าสามารถถอดรหัสแนวหินได้เขาเสนอว่าสโตนเฮนจจ์ คือ เครื่องคำนวญยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งใช้เป็นปฏิทินดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ เพราะแนวของหินกลุ่มก้องต่าง ๆ ล้วนมีความสัมพันธ์กับแนวการเคลื่อนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทฤษฏีทั้งหลายในปัจจจุบันจะมีตัวเลขและสถิติสนับเสนุนว่าเป็นจริง แต่ก็ยังไม่มีแนวคิดใดไขปริศนาลึกลับแห่งออีตของสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมบูรณ์










10.กำแพงเมืองจีน

       สิ่งก่อสร้างในสมัยโบราณของจีนที่มีชื่อเลื่องลือไปทั่ว โลกนั้น ตอนที่มีความสําคัญทางยุทธศาสตร์ตอนหนึ่งชื่อว่า ‘ปาต๋าหลิ่ง’ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง ห่างจากตัวเมืองกรุงปักกิ่งประมาณ ๘๐ กิโลเมตร กําแพงเมืองจีนมีความยาวทั้งหมด ๖๗๐๐ กิโลเมตร กําแพงเมืองจีนเริ่มสร้างในสมัยจ้านกว๋อ เวลานั้น ก๊กเยี่ยน ก๊กจ้าวและก๊กฉินในภาคเหนือของจีนต่างได้สร้างกําแพงของตนขึ้นในที่ที่มี ความสําคัญทางยุทธศาสตร์เพื่อป้องกันการบุกรุกของก๊กใกล้เคียงและเผ่าชนเร่ ร่อนเลี้ยงสัตว์ทางเหนือหลังจากจักรพรรดิฉินสื่อหวงรวมประเทศจีนเข้าเป็น เอกภาพเมื่อ ๒๒๑ปีก่อนคศ. ก็ได้เชื่อมต่อกําแพงที่ก๊กต่าง ๆ สร้างไว้เข้าด้วยกันและสร้างต่อเติมขึ้นอีก ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์สุย ราชวงศ์หยวนและราชวงศ์หมิงก็ได้ซ่อมแซมและสร้างเติมเสริมต่อเรื่อยมา กําแพงเมืองจีนในทุกวันนี้ส่วนใหญ่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยราชวงศ์หมิง การก่อสร้างกําแพงที่มีความยาวถึง ๖๐๐๐ กว่ากิโลเมตร บางแห่งยังต้องสร้างบนภูเขาทั้งสูงชันและสลับซับซ้อนอยู่เหนือระดับนํ้าทะเล ๑๐๐๐ กว่าเมตรในสมัยที่การลําเลียงขนส่ง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังไม่เจริญนั้นจะลําบากยากเข็ญเพียงไร ก็ด้วยเหตุนี้เอง กําแพงเมืองจีนจึงได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งในสถาปัตยกรรมของโลก กําแพงเมืองจีนประกอบด้วยด่าน กําแพง ป้อมรักษาการณ์และหอคอยจุดเพลิงสัญญาณ ด่านตั้งอยู่ตรงจุดสําคัญในเส้นทางคมนาคม มีกําแพงหลายชั้น มีทหารประจํารักษาอยู่เป็นจํานวนมากซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการทหาร ด่านจียงกวานที่ปาต๋าหลิ่งเป็นด่านสําคัญแห่งหนึ่งของกําแพงเมืองจีน กําแพงเมืองจีนโดยเฉลี่ยสูง ๗—๘ เมตร กว้าง ๕—๖ เมตร สันกําแพงด้านนอกมีเชิงเทินรูปฟันปลาเป็นที่กําบังตัว ข้าง ๆ เชิงเทินมีช่องมอง ใต้เชิงเทินมีช่องยิงลูกศร โดยทั่วไปบนที่สูงหรือบนยอดเขานอกกําแพง สร้างหอคอยสําหรับจุดเพลิงสัญญาณไว้เป็นระยะ ๆ ซึ่งเป็นสถานีส่งสัญญาณแจ้งเหตุทางทหารในสมัยโบราณแต่ละหอคอยรับส่งสัญญาณ กันเป็นทอด ๆ จนถึงเมืองหลวงหรือเขตป้องกันเมืองเขตใหญ่ ประกอบเป็นโครงข่าวสื่อสารอันสมบูรณ์ ถ้าเกิดมีข้าศึกมากลางวันก็สุมควัน มากลางคืนก็จุดไฟเป็นสัญญาณ กําแพงเมืองจีนในทุกวันนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดใจทั้งชาว จีนและชาวต่างประเทศ











9.หลุมฝังศพแห่งอะเล็กซานเดรีย




   สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย เป็นอุโมงค์ที่เก็บศพ และทรัพย์สมบัติของกษัตริย์อียิปต์โบราณ อุโมงค์ฝังศพนี้ มีชื่อเรียกว่า คาตาโคมบ์ (Catacombs) เป็นอุโมงค์ที่สร้างด้วย หินก้อนใหญ่ ๆ และ ขุดลึกลงไปเป็นชั้นๆ บางตอนลึกถึง 21 ถึง 24 เมตร (70-80 ฟุต) มีทางเดินกว้างถึง 1.2 เมตร (3-4 ฟุต) วกไปเวียนมา ตัวสุสานใต้ดินแห่งนี้มีสามชั้น ชั้นที่ 1 มีไว้สำหรับเตรียมการปลงศพ ชั้นที่ 2 เป็นที่เก็บรักษา และชั้นที่ 3 ใช้เป็นที่รวมญาติเพื่อระลึกถึงผู้ตาย โดยมีการเลี้ยงสังสรรค์กันทั้งวัน ซึ่งเล่ากันว่าตอนที่นักโบราณคดีค้นพบที่นี่เป็นครั้งแรก บนโต๊ะยังมีขวดไวน์และจานวางอยู่

  
 สุสานแห่งนี้เป็นอุโมงค์ฝังศพใต้ดินของกษัตริย์อียิปต์โบราณ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง เป็นสุสานของใคร และสร้างขึ้นเมื่อใด ลักษณะของตัวสุสานจะแตกต่างไปจากพีระมิด เพราะได้มีการจัดสร้างเป็นอุโมงค์ใต้ดินขุดลึกเข้าไปในภูเขาหินทราย ตามริมผนังของอุโมงค์เป็นช่อง ๆ ไว้ สำหรับเป็นที่ บรรจุศพ มีแท่นบูชาอยู่หน้าช่องบรรจุศพเหล่านั้น พร้อมตะเกียงดวงเล็กๆ แขวนไว้ บางส่วนของอุโมงค์ตกแต่งทั่ว ๆ ไปไว้อย่างวิจิตรงดงาม ปัจจุบันยังคงมีสภาพสมบูรณ์

















 

มรดกโลก (World Heritage) Template by Ipietoon Cute Blog Design

Blogger Templates