วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

20.เขื่อนอิไตปู

     เขื่อนอิไตปู (Itaipú) เป็นเขื่อนคอนกรีตขนาดใหญ่ซึ่งในอดีตจัดได้ว่าเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก[1] ก่อนที่เขื่อนสามหุบเขาของจีนจะแล้วเสร็จ เขื่อนอิไตปูสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1984 แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1988

คำว่าอิไตปู แปลว่า"เสียงเพลงจากก้อนหิน"มาจากภาษากวารานิ (Guarani) ชาวอินเดียนแดงเผ่าดั้งเดิม
   
เขื่อนอิไตปูกั้นแม่น้ำปารานาบริเวณเขตแดนระหว่างประเทศบราซิลกับประเทศปารากวัย จึงทำให้เขื่อนนี้เป็นทั้งผนังกันน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าและเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองประเทศอีกด้วย เขื่อนอิไตปูเป็นเขื่อนคอนกรีตชนิดเขื่อนแบบกลวง มีขนาดความสูง 180 เมตร มีความยาวกว่า 8 กิโลเมตร ใช้คอนกรีตในการสร้างกว่า 28 ล้านตัน ซึ่งสามารถสร้างสนามฟุตบอลได้ 210 สนาม และใช้เหล็กมากขนาดสร้างหอไอเฟลได้ 380 หอเลยทีเดียว เมื่อสร้างเสร็จด้านเหนือเขื่อนจึงเกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีเนื้อที่กว่า 1,550 ตารางกิโลเมตร ระยะทางยาวลึกขึ้นไปทางเหนือเขื่อนอีกกว่า 160 กิโลเมตร มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 18 เครื่อง มีกำลังการผลิต 12,600 เมกะวัตต์ จึงสามารถจ่ายไฟให้กับประเทศปารากวัยได้ทั้งประเทศรวมทั้งเมืองใหญ่ของบราซิลทั้งกรุงเซาเปาโล และนครรีโอเดจาเนโร ได้อย่างสบาย แต่ภายหลังได้มีโครงการเพิ่มเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็น 20 เครื่อง ภายในปี 2550 และสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 14,000 เมกะวัตต์




19.เดลต้า เวิร์ค

Image result for เดลต้า เวิร์ค


เดลตาเวิกส์ (อังกฤษ: Delta Works) เป็นโครงการก่อสร้างชุดใหญ่ที่บริเวณปากแม่น้ำไรน์-เมิส-เชลดา ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อกั้นการท่วมของน้ำทะเล โครงการประกอบไปด้วยการสร้างเขื่อน ประตูปิดเปิดน้ำ ที่กั้นเขื่อน การก่อสร้างเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ถึงปี ค.ศ. 1997


18.คลองปานามา





Image result for คลองปานามา


คลองปานามา (อังกฤษ: Panama Canal) เป็นคลองเดินเรือสมุทรความยาว 77 กิโลเมตร สร้างขึ้นบริเวณคอคอดปานามาในประเทศปานามาเพื่อเชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาที่ต้องไปอ้อมช่องแคบเดรกและแหลมฮอร์น ทางใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ คิดเป็นระยะทางกว่า 22,500 กิโลเมตร[1] ซึ่งมีผลอย่างยิ่งต่อการเดินเรือระหว่างสองมหาสมุทร โดยถูกใช้เป็นเส้นทางเดินเรือหลักสำหรับการค้าทางทะเลระหว่างประเทศ ตั้งแต่เปิดทำการ คลองปานามาประสบความสำเร็จและเป็นกุญแจสำคัญในการขนส่งสินค้าทั่วโลก จำนวนเรือที่ผ่านคลองปานามาเพิ่มขึ้นจาก 1,000 ลำต่อปีในยุคแรกเริ่ม มาเป็น 14,702 ลำต่อปี ในปี ค.ศ. 2008 มีระวางขับน้ำรวมทั้งสิ้น 309.6 ล้านตัน (คิดเป็นประมาณ 40 ลำต่อวัน ประมาณร้อยละ 5 ของเรือบรรทุกสินค้าทั่วโลก)

Image result for คลองปานามาแนวความคิดในการขุดคลองปานามาจะมีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 แล้ว ก่อนที่จะเริ่มการก่อสร้างครั้งแรกในปี ค.ศ. 1880 ภายใต้บริษัทสัญชาติฝรั่งเศสภายใต้การบริหารของนายแฟร์ดินองด์ เดอ เลสเซ็ปส์ แต่ก็ล้มเหลวไป มีคนงานกว่า 21,900 คนเสียชีวิต มักมีสาเหตุจากโรคระบาด (มาลาเรียหรือไข้เหลือง) และดินถล่ม จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาเข้ามาดำเนินงานต่อ โดยมีผู้เสียชีวิตราว 5,600 คน จนกระทั่งสามารถเปิดใช้งานได้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1914 นับเป็นหนึ่งในโครงการวิศวกรรมที่ใหญ่ที่สุดและยากลำบากที่สุดที่เคยมีมา




17.สะพานโกลเดนเกต

"สะพานโกลเดนเกท-Golden Gate" ความหมายคือ "ประตูทอง" ต้อนรับผู้มุ่งมาซานฟรานซิสโก ทำสถิติเป็นสะพานแขวนแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเส้นทางสู่อ่าวซานฟรานซิสโก และเชื่อมระหว่างซานฟรานฯ กับมาริน เคาท์ตี


สะพานทาสีแดงอมส้มสดตามสีสัญลักษณ์ของซานฟรานฯ ใช้งบประมาณในการสร้าง 35 ล้านดอลลาร์ เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 มกราคม 1933 อันเป็นช่วงสมัยของประธานาธิบดีแฟรงกิน ดี. รูสเวลต์ มี โจเซฟ สเตราส์ เป็นวิศวกร ฝากฝีมือบันทึกไว้บนสะพานโกลเดน เกทสีแดงอมส้มที่จะเปล่งแสงสะท้อนเมื่อยามแสงอาทิตย์ตกกระทบ ความงามทางด้านวิศวกรรมได้รับการยกย่องจากสมาคมวิศวกรพลเรือนอเมริกันให้เป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 

สะพานประตูทองทอดข้ามอ่าวทางตอนเหนือของเมืองซานฟรานฯ สร้างเป็นแบบโครงแขวน ตัวสะพานแขวนประกอบด้วยหอคอยเหล็กสองข้าง ข้างละ 215 เมตร ใช้ลวดเคเบิลโยงทอดเป็นตัวดึงน้ำหนักสะพาน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 36 นิ้ว ข้างละ 2 เส้น แต่ละเส้นประกอบด้วยลวนเส้นเล็กๆ 17,664 เส้น รวม 4 เส้น ยาว 70,815 ไมล์ หรือหมุนรอบโลกได้ 3รอบ และยังมีเส้นลวดเล็กยึดสายโยงอีกรวม 27,572 เส้น มีช่วงกลางระหว่างตอม่อยาว 1.26 กิโลเมตร ส่วนริม 2 ฟาก ยาวข้างละ 34 เมตร รวมความยาวทั้งหมดประมาณ 7 กิโลเมตร ส่วนกว้าง 27 เมตร 
Image result for สะพานโกลเดนเกต

เนื้อที่บนสะพานเปิดให้เดินรถไฟได้ 2 ช่องทาง และ 3 ช่องทางรถยนต์ โดยที่ตัวสะพานสามารถสามารถรับน้ำหนักได้ และไม่เกิดความเสียหาย เป็นสะพานแบบแขวนขนาดใหญ่และยาวมากที่สุดสะพานแรกในยุคนั้น สร้างแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 1937 เปิดใช้ครั้งแรกวันที่ 28 พฤษภาคม ปีเดียวกัน โดยประธานาธิบดีรูสเวลต์กดปุ่มทำพิธีเปิดมาจากกรุงวอชิงตัน ดีซี เป็นสัญญาณให้ผู้ใช้รถสัญจรไปมาบนสะพานได้ ทั้งนี้ เมื่อวันแรกนั้นมีประชาชนราว 200,000 คน มารวมตัวกัน

ส่วนยุคตื่นทองคำในสหรัฐเกิดขึ้นช่วง ค.ศ.1853 ผู้คนนับแสนหลั่งไหลเข้ารัฐแคลิฟอร์เนีย ยิ่งนานวันทวีจำนวนมากกว่า 250,000 คน สภาวการณ์ชุมชนเมืองระยะแรกเต็มไปด้วยคนนอกกฎหมาย ซานฟรานฯ ที่ในอดีตเคยเป็นของสเปนก็ได้กลายเป็นแหล่งชุมชนที่มั่งคั่งขึ้นจากการเป็นศูนย์กลางการค้ายุคนั้น และยั่งยืนต่อมาแม้ทองจะหมดไปน้านนาน


กระแสตื่นทองยังทำให้ซานฟรานฯ กลายเป็นแหล่งคนงานทำเหมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีนอพยพซึ่งนับเป็นรุ่นล่าสุดของอเมริกายุคหลังสงครามกลางเมือง คนงานชาวจีนซึ่งส่วนใหญ่มาจากโรงยาฝิ่นลงเรือกลไฟแล่นข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกมายังซานฟรานฯ ก่อนถูกกระจายไปตามเหมืองทองคำที่ต่างๆ ชาวจีนที่หลั่งไหลเข้าอเมริกาในช่วงตื่นทองนี้ ไม่เพียงทำให้อเมริกันเรียนรู้พลังของแรงงานผิวเหลืองจากเอเชียตะวันออก หากทำให้ชาวจีนเรียนรู้ที่จะอยู่ในวัฒนธรรมตะวันตกในเวลาต่อมาด้วย ชุมชนการค้าของชาวจีนในซานฟรานซิสโก กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่นับแต่นั้นจนวันนี้


16.ตึกเอ็มไพร์สเตต





ตึกเอ็มไพร์สเตต เป็นหนึ่งในอาคารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนเกาะแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา บริเวณจุดตัดของถนน Fifth Avenue และ West 34 Street ตัวอาคารสร้างจากคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี ตกแต่งด้วยศิลปะ อาร์ตเดคโค (Art Deco) มีความสูงทั้งสิ้น 102 ชั้น ใช้อิฐในการสร้าง 10 ล้านก้อน สูง 375 เมตร และลึกลงไปใต้ดิน จากระดับถนน อีก 10 เมตร บนยอดสุดมีโดมสูงขึ้นไปอีก 60 เมตร จากชั้นล่างถึงชั้นที่ 86 มีโครงเหล็กเสริมอย่างดี ชนิดไม่ขึ้นสนิม คิดเป็นน้ำหนัก 730 ตัน มีหน้าต่างทั้งหมด 6,500 บาน จุคนได้ 80,000 กว่าคน รับประกัน 6,000 ปี มีบริษัทใช้เป็น ที่เปิดทำการ 600 กว่าบริษัท ใช้ลิฟท์ขึ้นลง 65 เครื่อง มีเนื้อที่ใช้สอยทั้งหมดประมาณ 2,158,000 ตารางฟุต เริ่มสร้างเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2472 (ค.ศ.1929) สร้างเสร็จเมื่อ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) ชื่อตึกหลังนี้ได้มาจากชื่อเล่นของนครนิวยอร์ก หลังจากก่อสร้างเสร็จ ในปี พ.ศ. 2480 (ค.ศ.1931) ตึกเอ็มไพร์สเตทได้รับตำแหน่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกนานกว่า 40 ปี จนกระทั่งถูกตึกเหนือหรือ อาคารหมายเลข 1 (North Tower,WTC No.1)ของชุดอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (World Trade Center) ที่ได้ก่อสร้างเสร็จในปี 1972 (พ.ศ. 2515) ได้ทำลายสถิติลง และนับจากเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ.2001 (พ.ศ. 2544) ตึกเอ็มไพร์สเตทจึงได้กลับมาเป็นอาคารที่สูงที่สุดในนครนิวยอร์กอีกครั้ง โดยปัจจุบันมีความสูงเป็นอันดับที่ 14 ของโลก ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมภายในอาคารได้



15.ซีเอ็น ทาวเวอร์






ซีเอ็นทาวเวอร์ (อังกฤษ: CN Tower) ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองโตรอนโต รัฐออนแทริโอ ประเทศแคนาดา เป็นหอคอยสื่อสารและสังเกตการณ์ สูง 553 เมตร (1,815 ฟุต)[1] เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 และมีความสูงมากกว่าหอคอยออสตานกิโนในมอสโก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ทั้งที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ ซีเอ็นทาวเวอร์ได้รับการบันทึกว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงที่สุดในโลกเป็นเวลาถึง 31 ปี จนถึงวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2007 จึงถูกแทนที่ด้วยอาคารเบิร์จคาลิฟา (ขณะนั้นใช้ชื่อ เบิร์จดูไบ)[2]



ชื่ออาคาร ซีเอ็น ย่อมาจาก "Canadian National Railway" เป็นกิจการรถไฟที่เป็นเจ้าของโครงการก่อสร้างในระยะแรก แต่ในปัจจุบัน นิยมอ้างอิงว่า ซีเอ็น หมายถึง "หอคอยแห่งชาติแคนาดา" (Canada's National Tower)[3] ตัวหอคอยมีภัตตาคารอยู่ที่ชั้นความสูง 1,136 ฟุต และจุดชมทิวทัศน์ที่ความสูง 1,465 ฟุต

ปัจจุบัน ซีเอ็นทาวเวอร์เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดเป็นอันดับสามในโลก รองจาก เบิร์จคาลิฟา และหอคอยกว่างโจว แต่ยังครองสถิติสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในซีกโลกตะวันตก







14.ฮาเยียโซเฟีย แห่งคอนสแตนติโนเปิล



ฮาเกีย โซเฟีย โบสถ์ทรงโดมใหญ่ที่สุดในโลก

ฮาเกีย โซเฟีย (Hagia Sophia) แห่งนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เป็นต้นแบบสถาปัตยกรรมโบสถ์ของคริสต์ศาสนิกชนตะวันตก ยุคไบเซนไทน์ (Byzantine) ทั้งนิกายออร์โธดอกซ์ และคาทอลิกกรีก และได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ก่อนจะได้รับคัดเลือกเข้ารอบสุดท้ายให้เป็น 1 ใน 21 สิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2007

คำว่า “Hagia Sophia” มีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Holy Wisdom” หรือ “ภูมิปัญญาศักดิ์สิทธิ์” เป็นชื่อทฤษฎีในคริสตวรรษที่ 4 อุทิศแด่พระเยซูคริสต์ เดิมทีเดียวได้รับการขนานนามว่า “มหาโบสถ์” (The Great Church” เนื่องจากมีขนาดใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกับโบสถ์คริสต์ทั่วโลกในยุคนั้น

ประวัติความเป็นมาของ ฮาเกีย โซเฟีย น่าอัศจรรย์ไม่ด้อยไปกว่าความยิ่งใหญ่ด้านสถาปัตยกรรมเนื่องจากโบสถ์แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นวิหารของพระราชาคณะแห่งคอนสแตนติโนเปิล เป็นโบสถ์ของนิกายไบแซนไทน์ในเวลาเดียวกัน นับเป็นเวลานานกว่า 1,000 ปี แต่เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1453 สุลต่านแห่งตุรกี บุกยึดเมืองหลวงและดัดแปลงทุกสิ่งอย่างภายในโบสถ์ แปลงเป็นสุเหร่าของมุสลิม

เดิมโบสถ์หลังแรก ก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ. 360 โดยคอนสแตนเตียส จักรพรรดิโรมันตะวันออก แต่ถูกทำลายจากการเกิดจลาจลในปี ค.ศ. 404 จากนั้นจักรพรรดิธีโอดอเซียส ที่ 2 ได้บูรณะขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 415 และถูกทำลายจากการจลาจลอีกเช่นกันเมื่อปี ค.ศ. 532 ส่วนโบสถ์ที่คงสภาพมาจนถึงปัจจุบัน ก่อสร้างในยุคจักรพรรดิจัสติเนียน สมัยที่อาณาจักรไบแซนไทน์เรืองอำนาจและมีอิทธิพลสูงสุด ระหว่างปี ค.ศ. 532-537 มีการระดมแรงงานก่อสร้างกว่า 10,000 คน โดยมี โดมขนาดใหญ่ เป็นองค์ประกอบโดดเด่นที่สุดของโบสถ์ และเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีโดมอยู่ตรงกลาง ได้รับการสงวนไว้เป็นมาตรฐานของมัสยิดแถบตะวันออกกลาง และตะวันออกไกล้

มีตำนานระบุว่า เมื่อเริ่มแรกการก่อสร้าง อันเทมิอุส วิศวกรควบคุมงาน แก้ปัญหาข้อจำกัดเรขาคณิตไม่ตกว่าจะสร้างโดมทรงกลมเหนือฐานรูปสี่เหลี่ยมอย่างไร จึงคิดค้นทฤษฎีใหม่ โดยการสร้างเสาหลัก 4 ต้น ที่มุมแแต่ละด้านของฐานสี่เหลี่ยมเหนือยอดเสาขึ้นไปเป็นซุ้มประตู เติมเต็มช่องว่างระหว่างซุ้มโค้งด้วยผนังปูนรูปสามเหลี่ยมผนึกกันเป็นฐานที่แข็งแกร่งรองรับน้ำหนักของหลังคาโดม




ฮาเกีย โซเฟีย โบสถ์ทรงโดมใหญ่ที่สุดในโลก

 

มรดกโลก (World Heritage) Template by Ipietoon Cute Blog Design

Blogger Templates